สนทช.ระบุ ฝนเดือน มิ.ย.ตกน้อยว่าคาด ขณะที่พายุ “มูน” เติมน้ำน้อย ส่งผลน้ำในเขื่อนทั่วประเทศอยู่ที่เฉลี่ยเพียง 49% และ 15 เขื่อนที่น้ำต่ำกว่า 30% ขณะที่ คาดการณ์เดือน ก.ค.—ส.ค.จะมีสภาวะฝนทิ้งช่วง เร่งติดตามสถานการณ์พื้นที่นอกเขตชลประทานภาคเหนือ—อีสาน หวั่น 160 อำเภอขาดแคลนน้ำ ประสาน “ฝนหลวง” บินทำฝนเทียมเพิ่ม
นายสมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยว่า กรมอุตุนิยมวิทยา และสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) หรือ สสน. ได้มีการคาดการณ์ว่า ปรากฏการณ์เอลนีโญกำลังอ่อนมีแนวโน้มสูงที่จะเกิดต่อเนื่องไปจนถึงเดือน ส.ค.นี้ ซึ่งจะทำให้มีปริมาณฝนตกน้อย และเกิดสภาวะฝนทิ้งช่วงบริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออก เฉียงเหนือ และภาคตะวันออกในช่วงวันที่ 5-15 ก.ค.นี้ ซึ่ง สทนช.ได้วิเคราะห์พื้นที่เสี่ยง พบว่า มีพื้นที่มีฝนตกน้อยนอกเขตชลประทานที่มีความเสี่ยงขาดแคลนน้ำ 160 อำเภอ 21 จังหวัด ได้แก่ ภาคเหนือ 34 อำเภอ 6 จังหวัด ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 71 อำเภอ 8 จังหวัด และภาคใต้ 55 อำเภอ 7 จังหวัด
สำหรับการคาดหมายปริมาณฝน 3 เดือนล่วงหน้า ตั้งแต่ ก.ค.-ก.ย.62 กรมอุตุนิยมวิทยาคาดว่า ปริมาณฝนรวมบริเวณภาคกลาง ภาคตะวันออก กรุงเทพมหานครและปริมณฑล จะมีปริมาณฝนต่ำกว่าค่าปกติ 5% ส่วนภาคเหนือ ตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ฝั่งตะวันออก มีปริมาณฝนใกล้เคียงค่าปกติ แต่ภาคใต้ฝั่งตะวันตกจะสูงกว่าค่าปกติ 5% ทั้งนี้ อาจมีพายุหมุนเขตร้อนก่อตัวและมีโอกาสสูงที่จะเคลื่อนตัวผ่านภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคเหนือของไทยจำนวน 1—2 ลูก ในช่วงเดือน ส.ค.และเดือน ก.ย.
ขณะที่สถานการณ์น้ำในแหล่งน้ำทั้งประเทศ มีปริมาณน้ำรวม 39,622 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) คิดเป็น 49% โดยแหล่งน้ำขนาดใหญ่ 38 แห่ง ซึ่งพบว่า ยังไม่มีแหล่งน้ำใดที่มีน้ำมากกว่า 80% มีเพียงแหล่งน้ำที่อยู่ในเกณฑ์ 60-80% ในภาคตะวันออก และภาคใต้ รวม 3 แห่ง ได้แก่ เขื่อนศรีนครินทร์ เขื่อนรัชชประภา และเขื่อนบางลาง ส่วนอ่างเก็บน้ำขนาดกลาง มีอ่างเก็บน้ำด่านชุมพล จ.ตราด ที่มีปริมาณน้ำ 100% ส่วนอีก 11 แห่งมีปริมาณน้ำ 80-100% และปริมาณน้ำ 60-80% จำนวน 37 แห่ง
ทั้งนี้ มีแหล่งน้ำขนาดใหญ่อยู่ในเกณฑ์เฝ้าระวังน้ำน้อยกว่า 30% จำนวน 15 แห่ง แบ่งเป็นภาคเหนือ 2 แห่ง ได้แก่ เขื่อนแม่กวงอุดมธารา เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 6 แห่ง ได้แก่ เขื่อนห้วยหลวง เขื่อนน้ำพุง เขื่อนอุบลรัตน์ เขื่อนลำปาว เขื่อนลำพระเพลิง เขื่อนลำนางรอง ภาคตะวันออก 3 แห่ง ได้แก่ เขื่อนขุนด่านปราการชล เขื่อนคลองสียัด เขื่อนนฤบดินทรจินดา ภาคกลาง 4 แห่ง ได้แก่ เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ เขื่อนทับเสลา เขื่อนกระเสียว และบึงบอระเพ็ด โดยแหล่งน้ำขนาดกลางน้ำน้อยกว่า 30% จำนวน 129 แห่ง แบ่งเป็น ภาคเหนือ 15 แห่ง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 89 แห่ง ภาคตะวันออก 9 แห่ง ภาคกลาง 11 แห่ง ภาคตะวันตก 2 แห่ง และภาคใต้ 3 แห่ง
จากสภาพความแปรปรวนของสภาพอากาศที่มีทั้งพื้นที่เสี่ยงที่จะประสบปัญหาฝนทิ้งช่วง และฝนตกหนักในบางพื้นที่ สทนช.ได้เน้นย้ำการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ (กฟผ.) กรมชลประทาน และกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ทบทวน การคาดการณ์ปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างฯ และปรับแผนการจัดสรรน้ำจนสิ้นสุดฤดูฝน รวมถึงคาดการณ์ถึงแผนการจัดสรรน้ำในฤดูแล้งหน้าด้วย
เนื่องจากพบว่าปริมาณฝนตกในเดือน มิ.ย.น้อยกว่าคาดการณ์ถึง 30% ประกอบกับปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างทั่วประเทศจากพายุ “มูน” มีปริมาณน้อยมากเช่นกัน ทำให้ต้องบริหารจัดการน้ำในอ่างเก็บน้ำให้สอดคล้องกับสภาพภูมิอากาศ และเกณฑ์ปฏิบัติการอ่างเก็บน้ำ (Rule Curve) ที่ปรับปรุงใหม่ที่มีความยืดหยุ่นกับสภาพความเป็นจริง เพื่อเฝ้าระวังเขื่อนที่น้ำอาจจะมากในพื้นเหนือเขื่อนที่มีการคาดการณ์ว่าจะมีน้ำไหลเข้าเขื่อนเพิ่มขึ้น ก็ต้องมีการระบายน้ำโดยไม่ให้กระทบกับพื้นที่ท้ายน้ำ โดยขณะนี้ยังไม่มีเขื่อนใดจำเป็นที่จะต้องเร่งการระบายน้ำ เขื่อนทุกแห่งยังสามารถรองรับปริมาณน้ำฝนที่ตกลงมาได้อย่างต่อเนื่อง เพื่อเร่งการเก็บกักน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้งปีถัดไป
“ล่าสุด สทนช.ได้ประสานฝนหลวงเพิ่มความถี่ปฏิบัติ การฝนหลวงเติมน้ำในพื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำจากฝนทิ้งช่วง โดยเฉพาะภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคอีสาน โดยล่าสุดมีปฏิบัติการฝนหลวงเติมน้ำในอ่างฯ (8 ก.ค. 62) ในพื้นที่ จ.พะเยา แพร่ เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง เพชรบูรณ์ ลพบุรี กาญจนบุรี นครราชสีมา ขอนแก่น ชัยภูมิ บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และ จ.อุบลราชธานี รวมถึงแจ้ง 4 กระทรวงที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงพลังงาน พิจารณากำหนดมาตรการป้องกันภาวะเสี่ยงขาดแคลนน้ำ รวมทั้งจัดหาแหล่งเก็บกักน้ำเพื่อสำรองใช้ในช่วงฝนทิ้งช่วง และในระยะยาวด้วย”
ที่มา: Thairath