TEV ติดเครื่องทำตลาด city ev bus หลังจากทดลองวิ่งนาน 4 ปี

‘ไทยยานยนต์ไฟฟ้า’ พร้อมที่จะทำการตลาดรถบัสไฟฟ้า (EV BUS) ในปี 2563 หลังจากทำการทดสอบและเก็บข้อมูลเชิงลึกอย่างต่อเนื่องตลอด 4 ปีที่ผ่านมา หนุนด้วยปัจจัยแวดล้อมทั้งฝุ่น pm2.5 ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีแบตเตอรี่ที่ทำให้ราคาถูกลง ระยะใช้งานนานขึ้น

บริษัท ไทยยานยนต์ไฟฟ้า จำกัด หรือ TEV จัดตั้งเมื่อปี 2559 จากการรวมกลุ่มของผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ 34 บริษัทในคลัสเตอร์อุตสาหกรรมสนับสนุนที่ใช้พื้นฐานด้านวิศวกรรมเครื่องกลและการผลิต ที่เล็งเห็นว่า ในอนาคตรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าจะเป็นที่ต้องการมากขึ้น ประกอบกับรัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้า เพื่อลดปัญหามลภาวะ และส่งเสริมผู้ประกอบการไทยให้มีโอกาสผลิตในประเทศ

สมบูรณ์ ทิพยรังสฤษฏ์ ประธานกรรมการบริหาร TEV กล่าวว่า บริษัทได้รับสนับสนุนจากสํานักส่งเสริมและถ่ายทอดเทคโนโลยี (สส.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ร่วมกับศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) และสมาคมเครื่องจักรกลไทย ภายใต้โครงการวิศวกรรมเพื่อการสร้างสรรค์คุณค่าหรือวิศวกรรมย้อนรอย (Reverse Engineering) เพื่อพัฒนาเทคโนโลยี เครื่องจักร เครื่องมือและอุปกรณ์ เพื่อการผลิตต้นแบบรถโดยสารไฟฟ้าแบบโครงสร้างโมโนค็อก (Monocoque) ชนิดใช้แบตเตอรี่แบบชาร์จเร็ว (Pure Electric Vehicle; Quick Charge battery) รองรับความต้องการภายในประเทศ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับความต้องการของคนเมืองในปัจจุบัน และอนาคต เหมาะสมต่อการบริการขนส่งมวลชนของประเทศไทยในทุกฤดูกาล

ขณะเดียวกันก็ได้ทำข้อตกลงความร่วมมือและรับถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต และประกอบรถต้นแบบจากผู้ประกอบการในจีนและไต้หวัน ที่มีชื่อเสียงด้านยานยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้า อีกทั้งจะทำให้ทราบถึงเทคโนโลยีแบตเตอรี่ที่แตกต่างกันของทั้งสองประเทศด้วย ซึ่งทั้งสองสามารถนำมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะกับสภาพความต้องการใช้งานในไทย

“ผลผลิตจากโครงการฯ คือ รถบัสไฟฟ้าแบบโครงสร้างโมโนค็อกขนาด 6.5 เมตร จำนวน 20 ที่นั่ง และขนาด 10.5 เมตร จำนวน 32 ที่นั่ง ที่ออกแบบวางแบตเตอรี่ไว้บนหลังคา สามารถผจญกับปัญหาน้ำท่วมขังได้ดี เนื่องจากรถที่นําเข้ามาจากต่างประเทศทั้งหลาย มีการออกแบบวางแบตเตอรี่ไว้ด้านล่างและท้ายรถ ซึ่งเสี่ยงต่อเหตุการณ์น้ำท่วมถึงหรือกระเซ็นเข้าถึง ขณะที่ผู้ผลิตต่างประเทศไม่ได้ตระหนักถึงประเด็นนี้ เพราะล้วนแต่อยู่ในเขตหนาวเย็น ที่มีสภาพอากาศแตกต่างจากเขตร้อนชื้น”

ที่มา : bangkokbiznews.com

LEAVE A REPLY

Please enter your comment!
Please enter your name here