ครม.มีมติเห็นชอบร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมรัฐมนตรีเอเปคและการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ประจำปี 2568 ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ซึ่งจะจัดขึ้นที่สาธารณรัฐเกาหลีในเดือนตุลาคม-พฤศจิกายนนี้
รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาลเปิดเผยว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่มีนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทยเป็นประธานวานนี้ (21 ต.ค.) เห็นชอบร่างเอกสารทั้งหมด 5 ฉบับ ที่จะใช้ในการประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (Asia-Pacific Economic Cooperation) หรือ “เอเปค” ที่สาธารณรัฐเกาหลีจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปคในปี 2568 และกำหนดจัดการประชุมรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ 36 ระหว่างวันที่ 29 – 30 ตุลาคม 2568 และการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 32 ระหว่างวันที่ 31 ตุลาคม – 1 พฤศจิกายน 2568 ณ เมืองคยองจู สาธารณรัฐเกาหลี
ประกอบด้วยเอกสาร 5 ฉบับ ได้แก่
1.ร่างถ้อยแถลงร่วมรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ 36 ค.ศ. 2025
2.ร่างปฏิญญาคยองจูของผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ค.ศ. 2025
3.ร่างข้อริเริ่มปัญญาประดิษฐ์ของเอเปค
4.ร่างกรอบความร่วมมือเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางประชากร
5.ร่างถ้อยแถลงผู้นำว่าด้วยความร่วมมือในอุตสาหกรรมวัฒนธรรมและความคิดสร้างสรรค์
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างเอกสารในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย กระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงพาณิชย์สามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีอีก
มอบหมายผู้แทนเข้าร่วมรับรองเอกสาร
ที่ประชุม ครม. มีมติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทน ร่วมรับรองถ้อยแถลงร่วมรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ 36 ค.ศ. 2025
ทั้งนี้ความร่วมมือ APEC ถือเป็นกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจชั้นนำในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการเปิดเสรีทางการค้าและการลงทุน การรวมตัวทางเศรษฐกิจในภูมิภาค และการเติบโตที่ยั่งยืนและครอบคลุม ปัจจุบันมีสมาชิก 21 เขตเศรษฐกิจ รวมถึงไทยซึ่งเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปคครั้งล่าสุดเมื่อปี 2565
ประโยชน์ต่อไทยและภูมิภาค
การดำเนินการตามร่างเอกสารผลลัพธ์ทั้ง 5 ฉบับ จะช่วยส่งเสริมความร่วมมือเพื่อการเติบโตที่เข้มแข็ง ยืดหยุ่น ยั่งยืนและครอบคลุมของเขตเศรษฐกิจสมาชิกเอเปคและของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกในภาพรวม ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายการต่างประเทศของไทย สานต่อผลลัพธ์ของการเป็นเจ้าภาพเอเปคของไทยเมื่อปี 2565 และสะท้อนบทบาทที่สร้างสรรค์ของไทยในการร่วมมือกับประชาคมระหว่างประเทศเพื่อจัดการกับความท้าทายและส่งเสริมผลประโยชน์ร่วมกัน
ที่มา<<<https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1204161