“เอกนิติ” ชี้ 4 ประเด็นรีเซตเศรษฐกิจไทย ดันยุทธศาสตร์ไทย ปีหน้าเป็น “ปีแห่งการลงทุน” ดันอุตสาหกรรมตรงความต้องการตลาดโลก ย้ำเสถียรภาพการคลัง ชูกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน PPP เครื่องมือลงทุนโดยยังรักษาวินัยการคลัง
วันนี้ (2 ธ.ค.68) นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ Thailand’s Economic Reset ยุทธศาสตร์ประเทศไทย ในงาน Dinner Talk : Go Thailand 2026 – Beyond Survival โอกาสไทยในวิกฤติ จัดโดยฐานเศรษฐกิจว่าประเทศไทยต้องมีการ Reset ในปัญหาหลัก 4 ด้าน ได้แก่
1.ประเทศไทยวันนี้ในเรื่องของเศรษฐกิจ ประเทศเราเศรษฐกิจโตต่ำลงเรื่อยๆ จากที่เคยโตเฉลี่ย 7%ในช่วงทศวรรษ 2540 มาปัจจุบันเศรษฐกิจโตแค่ 2% การที่เศรษฐกิจไทยเราโตต่ำนั้นสะท้อนว่าเศรษฐกิจของประเทศไทย เรากินบุญเก่ามาตลอด โดยมาจากการลงทุนในอดีต เราไม่ได้ลงทุนอย่างจริงจังมานาน โดยก่อนปี 2540 การลงทุนรวมอยู่ที่ 40% ของจีดีพี ปัจจุบันการลงทุนเหลือแค่ 22% เท่านั้น
“ถ้าประเทศไทยเปรียบเป็นโรงงานของเราก็เก่ามาก ผลิตของไม่เป็นที่ต้องการ แม้กระทั่งการไปขายข้าวเราก็ยังขายข้าวแบบเดิม อุตสาหกรรมรถยนต์ที่คนใช้รถไฟฟ้า และไฮบริดมากขึ้น เราจะทำอย่างไร การท่องเที่ยวที่ไม่สามารถเติบโตเป็น wellness destination ซึ่งทั้งหมดต้อง Resetใหม่” นายเอกนิติ กล่าว
ดังนั้นได้มีการหารือกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ว่า ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจในปีหน้าจะเป็นปีแห่งการลงทุน เราต้อง Reset เรื่องของการลงทุน จากที่ผ่านมาเราโตด้วยการส่งออก ประเทศไทยเราพึ่งพาการส่งออกทั้งในเรื่องของพึ่งพาการส่งออกสินค้า และบริการ การเติบโตของเศรษฐกิจ ต้องแก้หนี้ครัวเรือน และช่วย SMEs ให้มีลมหายใจ เพื่อให้การเติบโตในประเทศเข้มแข็ง
2.การเติบโตของเศรษฐกิจไทยต้องมุ่งเสถียรภาพ ต้องไม่ใช่โตระยะสั้น หรือไม่มีเสถียรภาพ เพื่อให้มีการเติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งในเรื่องของการคลังเราต้องรักษาเสถียรภาพ โดยก่อนปี 2540 เรามีปัญหาเรื่องสถาบันการเงิน และการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด จึงมาเจอเรื่องวิกฤติปี 2540
การเติบโตต้องเน้นในเรื่องการสร้างเสถียรภาพเศรษฐกิจแม้ว่า ปัจจุบัน NPL ของไทยอยู่ที่ไม่ถึง 3% เงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงอยู่ที่ 20% ซึ่งสถาบันการเงินเราเข้าแข็ง ทุนสำรองเราแข็งแรงมากในปัจจุบันเกินดุลบัญชีเดินสะพัด 4% เทียบกับหนี้ระยะสั้นมากกว่า 2.5% สถานการณ์ต่างจากปี 2540 แต่การคลังเราอ่อนแอ
ซึ่งเราโดนใบเหลืองทำให้ Outlook เราโดนปรับลดลงเป็น Negative ซึ่งเราแก้โดยการคืนหนี้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธ.ก.ส.) และเราทำแผนเรื่องการคลังระยะปานกลาง เพื่อลดการขาดดุลให้ต่ำลงเรื่อยๆ โดยมีเป้ามาต่ำกว่า 3% ของจีดีพีให้ได้ภายในปี 2572
3.ประเทศไทยเป็นสังคมผู้สูงอายุ และมีความเหลื่อมล้ำสูง คนมีรายได้ 20% กินสัดส่วนรายได้ 50% และคนที่รายได้น้อย 20% มีรายได้น้อยมาก แค่ 6% ของประเทศ และผู้มีรายได้น้อยเป็นผู้สูงอายุจำนวนมาก ขณะที่ SMEs เราขาดสภาพคล่อง และความสามารถในการผลิตต่ำกว่าที่ควรจะเป็น จึงมีการนำเอามาตรการสนับสนุน SMEs เข้า ครม.ในวันนี้ และมีแพ็กเกจที่ออกมาเพื่อสร้างความเข้มแข็ง และให้มาตรการภาษีให้รายใหญ่ช่วย SMEs รวมทั้งมาตรการ การเร่งจ่ายเงินในส่วนของคู่ค้าทั้งรายใหญ่ และภาครัฐ โดยใช้การวางบิลผ่านระบบ PromtBiz เพื่อสร้างสภาพคล่อง SMEs ระยะยาว
ปัญหาประชากรที่น้อยลงต้องเร่งการทำ Reskills Upskills ให้คนไทยเก่งมากขึ้น เช่นการทำโครงการคนละครึ่งพลัสที่แก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ โดยเพิ่มความสามารถให้กับพ่อค้าแม่ค้าให้เป็นผู้ประกอบการรายย่อยที่เก่งขึ้น เข้าถึงสินเชื่อได้มากขึ้น ขณะที่การดึงคนที่เป็นบุคคลที่มีความสามารถเปิดให้คนที่มีเก่งมากๆ เข้ามาทำงานกับคนไทย แต่ไม่ใช่เรื่องการเข้ามาแบบเป็นสแกมเมอร์
และ 4.ปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อม จากการที่เราเห็นปัญหาที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ที่มาจากปัญหาโลกร้อน เราจะรองรับมันอย่างไร เพราะปัญหานี้จะมาอีกในอนาคต โดยจำเป็นเรื่องการถอดบทเรียนซึ่ง ครม.ได้มอบให้ นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานทำงานในเรื่องนี้ เพื่อให้สามารถถอดบทเรียน หาทางป้องกัน และเราต้องทำในเรื่องที่สอดคล้องกับกติกาโลกในส่วนที่ส่งเสริมเรื่องเป็นมิตรสิ่งแวดล้อม เช่น CBAM การเงินสีเขียว (Green loan) ที่เป็นโอกาสของธุรกิจไทย
นอกจากเรื่องของ Reset 4 ด้าน เราต้องผลักดันเรื่องของการลงทุน ที่สำคัญคือ เรื่องของพลังงานสะอาด โดยต้องปลดล็อกเรื่องของการลงทุนในเรื่องของพลังงาน เช่น เรื่องของการซื้อขายไฟฟ้าโดยตรง (Direct PPA)
ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมที่นักลงทุนยังให้ความสนใจคือ สาขาที่ไทยมีความสามารถในการแข่งขัน ได้แก่ เกษตรสมัยใหม่ (Smart Farming) อุตสาหกรรมอาหาร (Food Processing) สมาร์ตอิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะ Printed Circuit Board (PCB) นอกจากนั้นยังมีการอัปเกรดฐานการผลิตรถยนต์เป็นรถยนต์ Hybrid หรือไฟฟ้า (EV) และศูนย์กลางทางการแพทย์ (Medical Hub)
อย่างไรก็ตาม ปัญหาสำคัญที่ได้เข้าไปดูในเรื่องของปัญหาคือ โครงการจำนวนมากที่ได้รับอนุมัติบัตรส่งเสริมแล้ว และพร้อมจะลงทุนจริง ซึ่งมีกว่า 80 โครงการ ที่มีมูลค่าประมาณ 460,000 ล้านบาท กลับติดปัญหาไม่สามารถลงมือได้จริง เนื่องจากมีอุปสรรคเรื่องน้ำ ไฟฟ้า วีซ่า การขออนุญาต และที่ดินเพื่อแก้ไขปัญหานี้จึงปลดล็อก โดยให้เป็นการลงทุนระหว่างภาครัฐ และเอกชน (PPP) เป็นการลงทุนกองทุน Infrastructure Fund โดยมีกลไกในเรื่องนี้อยู่แล้วสามารถทำได้ และช่วยในเรื่องนี้เพื่อให้ตลาดหลักทรัพย์ของไทยสามารถเติบโตได้ด้วย ซึ่งถือเป็นการปลดล็อกทั้งการลงทุน และศักยภาพการลงทุน
นอกจากนั้นต้องคิดในเรื่องการปลดล็อกให้ผู้สูงอายุกลับมาทำงาน ซึ่งคนไทยจำนวนมากที่เกษียณโดยยังไม่พร้อม โดยให้ผู้สูงอายุสามารถกลับมาทำงานได้ ซึ่งเราอาจต้องเปิดใจในเรื่องการรับหมอ พยาบาล จากต่างประเทศเข้ามาทำงานได้ เรื่องนี้ต้องเปิดใจเหมือนสิงคโปร์ ที่ทำในเรื่องนี้เพื่อให้เศรษฐกิจไปได้
นอกจากนั้นสิ่งสำคัญคือ เราต้องเข้าสู่ในเรื่องของกรีนซัพพลายเชนให้ได้ และซัพพลายเชนของโลกให้ได้ เพื่อให้เอสเอ็มอีไทยเติบโตไปพร้อมกับธุรกิจขนาดใหญ่ได้ โดยให้มาตรการทางภาษีเข้ามาช่วย ซึ่งจะลงทุนในอนาคต และลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน โดยคิดอย่างจริงจังเพื่อลงทุน
“โอกาสสุดท้ายที่เราจะผลักดันการลงทุน คุ้มค่า สอดคล้องกับเศรษฐกิจโลก การลงทุนในคน และการลงทุนที่ตรงกับความต้องการของโลก เพื่อดึงผู้ประกอบการเข้าสู่ระบบ โลกยุคใหม่เพื่อให้ไทยนั้นสามารถที่เศรษฐกิจจะกลับมาเติบโตอีกครั้ง โตอย่างมีเสถียรภาพ และมีความยั่งยืน” นายเอกนิติ กล่าว
ที่มา<<<https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1210322









![Captain America: Civil War – Official “Spider-Man” TV Spot #30 [HD]](https://thailandlogistics.com/wp-content/uploads/2017/12/maxresdefault-5-218x150.jpg)














