รัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล ได้แถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา โดยนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ชี้แจงนโยบายเศรษฐกิจรัฐบาลในการแถลงนโยบายรัฐบาลต่อที่ประชุมรัฐสภาวันที่ 30 ก.ย.2568
นายเอกนิติ กล่าวว่า หลักคิดของรัฐบาลคือ “กระตุ้นสั้น ได้ยาว กระจายตัว” จะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่คำนึงศักยภาพเศรษฐกิจไทยระยะยาว และทำให้เกิดการกระจายไปทุกพื้นที่ โดยการดำเนินการจะมุ่งเน้น “Quick Big Win” ใน 5 เสาหลัก เพื่อรับมือภาวะเศรษฐกิจที่กำลังชะลอรุนแรง พร้อมตั้งเป้าหมายการวัดผลที่ชัดเจนภายใน 4 เดือนแรกของการบริหาร
ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยเปรียบเสมือน “รถติดหล่ม” เครื่องยนต์แรกแผ่วและจะค่อยๆ ดับ คือ ภาคการส่งออก ขณะที่ตัวชี้วัดการบริโภคภาคเอกชนส่งสัญญาณติดลบครั้งแรกในเดือน ก.ค.2568 ส่วนการลงทุนภาคเอกชนยังชะลอ และปัจจุบันใช้กำลังการผลิตภาคอุตสาหกรรมไม่ถึง 60% ดังนั้นเหลือเพียงเครื่องยนต์เดียว คือ การใช้จ่ายรัฐบาล
สำหรับตัวเลขล่าสุดที่หน่วยงานเศรษฐกิจคาดการณ์ พบว่า GDP ไตรมาส 3 ขยายตัว 1.7% และไตรมาส 4 เหลืออยู่เพียง 0.3% คำถามคือรัฐบาลจะทำอย่างไรในสถานการณ์เช่นนี้ ประกอบกับข้อห่วงกังวลถึงเรื่องวินัยการเงินการคลัง
“หากไม่ใช้เครื่องยนต์เดียวที่มีอยู่เศรษฐกิจจะไม่เพียงแค่ติดหล่ม แต่จะ “ดิ่งเหวเลย” และความเสียหายจะแก้ไขยากขึ้น”
นายเอกนิติ กล่าวว่า รัฐบาลวางแผนนโยบายเศรษฐกิจด้วยหลักคิด “กระตุ้นสั้น ได้ยาว กระจายตัว” โดยมีเวลาจำกัดเพียง 4 เดือนในการกระตุ้นเศรษฐกิจให้เกิดผล และต้องคำนึงถึงการเพิ่มศักยภาพเศรษฐกิจในระยะยาว เนื่องจากรถยนต์เศรษฐกิจไทยเป็นรถยนต์ที่เก่าและคนขับขาดทักษะใหม่
นายเอกนิติ ระบุว่า รัฐบาลมีเป้าหมายต้องดึงรถยนต์เศรษฐกิจขึ้นจากหล่ม โดยมีตัวชี้วัดที่วัด คือ GDP ไตรมาส 4 ต้องดีกว่าที่คาดไว้ 0.3% หนี้ครัวเรือนปัจจุบัน 87.4% ของ GDP ต้องต่ำกว่า 87% รวมทั้งเม็ดเงินลงทุนต้องเพิ่มขึ้น
- ชู 5 นโยบายหลักฟื้นเศรษฐกิจไทย
ทั้งนี้ นโยบาย 5 เสาหลักที่ตั้งอยู่บนวินัยทางการคลัง โดยใช้กรอบงบประมาณเดิม คือ งบกระตุ้นเศรษฐกิจ 25,000 ล้านบาท และงบกลาง 19,000 ล้านบาท และไม่ได้กู้เพิ่ม ประกอบด้วย
1.กระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว นำโดยโครงการ “คนละครึ่ง พลัส” เพื่อกระตุ้นสั้นและกระจายตัวสู่พ่อค้าแม่ค้ารายเล็กรายย่อย ซึ่งจะเพิ่มเงินสมทบจาก 150 บาท เป็น 200 บาท เพื่อเพิ่มกำลังซื้อ และพลัสสำหรับผู้อยู่ระบบภาษีจะได้รับเงินมากกว่า 2,400 บาท ขณะที่บุคคลทั่วไปได้รับ 2,000 บาท เพื่อจูงใจเข้าระบบระยะยาว
นอกจากนี้ จะหารือสถาบันการเงินเพื่อเชื่อมข้อมูลการใช้จ่ายที่เกิดขึ้น และใช้ระบบดิจิทัลทำบัญชีที่จะเป็นข้อมูลสำหรับธนาคารในการปล่อยสินเชื่อได้ง่ายขึ้น
อีกทั้งจะออกมาตรการภาษีส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรอง โดยให้สิทธิผู้ประกอบการหักลดหย่อนภาษี 2 เท่าสำหรับการปรับปรุงโรงแรมในเมืองรอง ซึ่งทำให้รัฐสูญเสียรายได้เพียง 300 ล้านบาท แต่ผลที่ได้รับจะกระจายผลประโยชน์ไปทั่ว
- อัดงบฟื้นฟู 2.6 หมื่นล้าน ซื้อหนี้ NPL
2.แก้ไขปัญหาหนี้ประชาชนหรือหนี้ครัวเรือน โดยจะใช้เงินกองทุนฟื้นฟูฯ ที่เหลือ 26,000 ล้านบาท เพื่อตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ร่วมกับธนาคารพาณิชย์ซื้อหนี้ NPL เพื่อปรับโครงสร้างหนี้ ยืดหนี้และลดดอกเบี้ยให้ลูกหนี้หายใจคล่องขึ้น
รวมทั้งกระทรวงการคลังพัฒนาโครงการสินเชื่อตามความเสี่ยง (ARI Score) เพื่อให้คนตัวเล็กเข้าถึงสินเชื่อในระบบและไม่พึ่งหนี้นอกระบบ
3.เสริมสภาพคล่อง SME เตรียมกลไกบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) มาค้ำประกัน โดยเตรียมวงเงินไว้ขั้นต่ำ 50,000 ล้านบาท รวมทั้ง Supply Chain Financing (พี่ช่วยน้อง) ส่งเสริมให้รายใหญ่ช่วยรายย่อยในห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งให้สิทธิหักค่าใช้จ่ายภาษีได้ ขณะที่กรมสรรพากรมีภาษีค้างคืนอยู่ 160,000 ล้านบาท จะเร่งคืนเข้าสู่ระบบและ SME ทันที
4.เพิ่มการออมภาคประชาชนเพราะคนไทยมีเงินออมไม่พอ จะนำหลักการออมผูกกับการซื้อสลากออนไลน์ โดยสัดส่วนเงินออมจะถูกเก็บไว้ใช้ระยะยาว เช่น อายุ 55 ปี ถือ 5 ปี โดยจะสนับสนุนวงเงินสบทบจากการหักจากค่าการตลาดของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล
รวมทั้งให้ประชาชนรายย่อยเข้าถึงพันธบัตรออมทรัพย์รัฐบาลทุกเดือนเป็นทางเลือกการออมระยะยาวที่ผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปี สูงกว่าการฝากเงินธนาคาร
- ดึงอุตฯ ใหม่ เพิ่ม GDP ประเทศ
5.สร้างอุตสาหกรรมอนาคตและเพิ่มขีดความสามารถ เน้นสนับสนุนการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ เช่น เกษตรชีวภาพ Smart Farming, Digital, AI, และรถยนต์ EV นอกจากนี้ส่งเสริมการพัฒนาทักษะแรงงาน โดยสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) มีกองทุนเพิ่มขีดความสามารถแข่งขัน วงเงิน 10,000 ล้านบาท เพื่อผลิตแรงงานให้ตรงความต้องการภาคเอกชน
ทั้งนี้ จะเร่งปลดล็อกเงินลงทุนที่บีโอไออนุมัติแต่ยังไม่เริ่มโครงการ มูลค่า 470,000 ล้านบาท โดยใช้โครงการ “Fast Pass Plus” เพื่อเร่งรัดอนุมัติขอน้ำ ขอไฟ และคนเข้าทำงานให้เสร็จในกำหนด
- ธปท.ชี้ ‘คนละครึ่ง’ กระตุ้น ศก.น้อย
นางสาวชญาวดี ชัยอนันต์” ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายองค์กรสัมพันธ์ และ โฆษกธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรัฐบาลในส่วนโครงการคนละครึ่งและบัตรสวัสดิการของรัฐที่มีเม็ดเงิน 6.6 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็น 0.4% ของจีดีพี โดย ธปท. มองผลบวกจากโครงการอาจไม่ได้มากนัก เท่ากับ 0.4% แต่อาจมีผลบวกกับเศรษฐกิจราว 0.2% เท่านั้น
สำหรับประเด็นหลักมาจากโครงการดังกล่าวไม่ได้เป็นโครงการกระตุ้นการจ้างงาน แต่เป็นเพียงการกระตุ้นการใช้จ่ายที่อาจมีสินค้าจากต่างประเทศมาเกี่ยวข้องด้วย ดังนั้น การใช้จ่ายหรือผลของโครงการอาจต้องขึ้นอยู่กับการใช้จ่ายผ่านมาตรการด้วยว่ามีมากน้อยแค่ไหน ซึ่งต่างกับโครงการกระตุ้นผู้มีรายได้สูงที่อาจมีส่วนกระตุ้นเศรษฐกิจได้มากกว่า
“มองว่าโครงการคนละครึ่งหรือมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรวม 2 โครงการนี้ ผลบวกต่อจีดีพีอาจไม่มากนัก ไม่เท่ากับเม็ดเงินที่ใส่ไป หรือผลอาจไม่ได้ 0.4% ผลอาจได้เพียงครึ่งหนึ่งของเม็ดเงินที่ใส่ไปหรือเพียง 0.2% ต่อจีดีพีเท่านั้น”
- เศรษฐกิจเดือน ส.ค.ชะลอ “ส่งออกดิ่ง”
สำหรับภาพเศรษฐกิจไทยเดือน ส.ค.2568 ชะลอลงจากเดือนก่อน จากภาคเกษตรและการผลิตภาคอุตสาหกรรม ส่งผลให้ภาคการค้าและขนส่งสินค้าลดลงตาม ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวปรับดีขึ้นจากรายรับนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติ ส่วนการส่งออกเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา ขยายตัวได้ 5.5%เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง 0.1% จากเดือนก่อนหน้า
สำหรับหมวดการส่งออกที่ลดลง คือ สินค้าเกษตร ตามการส่งออกทุเรียนไปจีนและฮ่อง สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ตามการส่งออกคอมพิวเตอร์ และฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ไปสหรัฐ รวมถึงเซมิคอนดักเตอร์ไปไต้หวัน
ทั้งนี้ การส่งออกไปสหรัฐลดลงเป็นเดือนแรกหลังภาษีนำเข้ามีผลบังคับใช้ ด้านการนำเข้าในเดือน ส.ค.เพิ่มขึ้น 14.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นผลจากหมวดเชื้อเพลิงตามการกลับมาผลิตปิโตรเลียม หลังปิดซ่อมบำรุงไปในช่วงก่อนหน้า หมวดวัตถุดิบและสินค้าขั้นกลางที่ไม่รวมเชื้อเพลิง ตามการนำเข้าชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้าจากไต้หวัน
- ธปท.ชี้ไทยเผชิญความท้าทายทั้งในและตปท.
ดร.รุ่ง โปษยานนท์ มัลลิกะมาส รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธปท.กล่าวว่า ไทยมีปัญหาและช่องโหว่หลายเรื่อง โดยเฉพาะระยะสั้นที่มีความท้าทายจากทั้งต่างประเทศและในประเทศ
สำหรับความท้าทายจากภายนอก จากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ที่สำคัญ คือ ภาษีศุลกากรของสหรัฐที่กระทบทางตรงทำให้การส่งออกสินค้าจะยากขึ้น ขณะที่ผลกระทบทางอ้อม การปรับตัวของห่วงโซ่การผลิตจะเกิดขึ้นแน่นอน
หากดูความท้าทายจากภายในประเทศ ปัญหาภายในที่แสดงให้เห็นชัดเจนมา 5 ปีแล้ว คือ การหดตัวของภาคการผลิตไทย ในขณะที่การบริโภคของคนไทยเติบโตขึ้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่าไทยถูกแย่งพื้นที่ในประเทศของไทยเอง
สำหรับความเชื่อมั่นของครัวเรือนถดถอยลง เนื่องจากประชาชนรู้สึกอ่อนล้า ถดถอยลง และมีรายได้น้อยมากขึ้น อีกทั้งหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูง ซึ่งกดทับทั้งความเชื่อมั่นและพลวัตต่าง ๆ ของระบบเศรษฐกิจ
ขณะที่พื้นที่เชิงนโยบาย (Policy Space) ของประเทศน้อยลง หน่วยงานจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating Agency) เช่น Moody’s และล่าสุด Fitch Ratings ได้เข้ามาประเมินและเตือนว่าภาคการคลังของไทยที่เสถียรภาพลดลง ทำให้มีโอกาสที่ประเทศจะถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Downgrade) ได้ในอนาคต
ที่มา<<<https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1201144