ประเทศไทยและสิงคโปร์ยกระดับความสัมพันธ์ 6 ทศวรรษ สู่ความร่วมมือทางเชิงยุทธศาสตร์ที่มุ่งสู่ความก้าวหน้าและการเป็นหุ้นส่วนในภูมิภาคทั้งด้านเศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน เทคโนโลยีและนวัตกรรม
สำนักงานส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ร่วมกับสภาธุรกิจสิงคโปร์ (SBF) จัดงาน Singapore Regional Business Forum (SRBF) ครั้งที่ 9 เป็นครั้งแรกในไทย ณ กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 19 ส.ค.2568 เพื่อประกาศความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ในการขยายการค้าและการลงทุนและเป็นส่วนหนึ่งของการเฉลิมฉลองครบรอบ 60 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูต
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษว่า วาระครบรอบ 60 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยและสิงคโปร์ เป็นจุดหมายสำคัญที่สะท้อนความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์และการเป็นหุ้นส่วนในภูมิภาคทั้งการท่องเที่ยวและด้านเทคโนโลยีที่ลงทุนร่วมกัน ซึ่งความร่วมมือระหว่างประเทศเป็นสิ่งจำเป็นท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก
นายพิชัย กล่าวว่า ไทยยังเป็นเป้าหมายสำคัญของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) โดยปี 2567 สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) อนุมัติโครงการขอรับส่งเสริมการลงทุนมูลเป็นสถิติสูงสุดในรอบทศวรรษ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมดาต้าเซ็นเตอร์ เซมิคอนดักเตอร์ อิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูงและยานยนต์
ส่วนครึ่งแรกของปี 2568 มูลค่าการลงทุนจากสิงคโปร์ยังเป็นอันดับ 1 ครอบคลุมหลายอุตสาหกรรม ซึ่งที่ผ่านมามีการลงทุนไม่ว่าจะเป็น SATS Food ผู้ผลิตอาหารสำหรับบริโภคบนเครื่องบิน และตั้งศูนย์ R&D ในไทย บริษัท Oatside ผู้ผลิตนมข้าวโอ๊ตชั้นนำ และ CapitaLand ร่วมกับบริษัทไทยพัฒนาศูนย์กระจายสินค้ามาตรฐานสูง
นอกจากนี้ ไทยมีศักยภาพสูงในการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพจากของเหลือภาคเกษตรมาสร้างมูลค่า เช่น การผลิตชีวพลังงานและเชื้อเพลิงอากาศยานที่ยั่งยืน (SAF) เพื่อตอบสนองมาตรฐานสากล
รวมถึงพลังงานทดแทนและเศรษฐกิจดิจิทัลเพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด โดยไทยตั้งเป้าหมาย “Net Zero Carbon” ภายในปี 2065 และพัฒนามาตรการ Utility Green Tariff (UGT) หรือ Utility Clean Tariff (UCT) และรัฐบาลริเริ่ม Direct Power Purchase Agreement (PPA) รองรับดาต้าเซ็นเตอร์เข้าถึงพลังงานสะอาดที่จะจัดสรรเบื้องต้น 2,000 เมกะวัตต์
นายพิชัย กล่าวว่า อาเซียนจะก้าวขึ้นเป็นเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 4 ของโลก ภายในปี 2030 ซึ่งมาจากการดำเนิน “Smart Policy” และความร่วมมือระดับภูมิภาค ซึ่งความร่วมมือระหว่างไทยและสิงคโปร์เป็นตัวอย่างหนึ่ง
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการบีโอไอ เปิดเผยว่า ไทยกำลังก้าวสู่การเป็นฐานการผลิตสำคัญของอุตสาหกรรมใหม่ในภูมิภาค โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า แบตเตอรี่ เซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง รวมถึงธุรกิจดิจิทัลที่โตเร็วด้วยจุดแข็งและความพร้อม อาทิ โครงสร้างพื้นฐานและระบบโลจิสติกส์ที่แข็งแกร่ง ไฟฟ้าที่เสถียรและศักยภาพด้านพลังงานสะอาด ซัพพลายเชนที่มีคุณภาพ และนโยบายส่งเสริมการลงทุนจากภาครัฐ
ทั้งนี้ บีโอไอและสภาธุรกิจสิงคโปร์ (SBF) ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือการลงทุนอุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้แก่ อุตสาหกรรมอาหาร อิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง การแพทย์ เทคโนโลยีชีวภาพ การท่องเที่ยว พร้อมมุ่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลและเศรษฐกิจสีเขียวร่วมกัน
“จะเชื่อมโยงการลงทุน 2 ประเทศ โดยผสานจุดแข็งของสิงคโปร์ด้านเทคโนโลยี เงินทุนและเครือข่ายธุรกิจทั่วโลก เข้ากับความพร้อมของไทยด้านโครงสร้างพื้นฐาน ซัพพลายเชน พื้นที่รองรับอุตสาหกรรม และศักยภาพด้านพลังงานสะอาด เพื่อรองรับการสร้าง Green Supply Chain ร่วมกัน และนำไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน”
สำหรับสถิติการลงทุนจากสิงคโปร์ช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (2563-มิ.ย.2568) มีโครงการยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุน 1,099 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 8.1 แสนล้านบาท ทำให้สิงคโปร์เป็นนักลงทุนอันดับ 1 ในไทย ส่วนใหญ่อยู่อุตสาหกรรมดิจิทัล 4 แสนล้านบาท รองลงมาเป็นอิเล็กทรอนิกส์ 1.9 แสนล้านบาท ยานยนต์และชิ้นส่วน 6.5 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้การลงทุนจากบริษัทสิงคโปร์ส่วนใหญ่อยู่กิจการดาต้าเซ็นเตอร์และบริการคลาวด์ กิจการพัฒนาซอฟต์แวร์และดิจิทัลแพลตฟอร์ม กิจการผลิตผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ กิจการผลิตอาหารที่ใช้เทคโนโลยีสูง กิจการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ กิจการโรงแรม และกิจการด้านโลจิสติกส์
นายตัน ซี เหล่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และรัฐมนตรีกำกับดูแลด้านพลังงานและวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีประจำกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรม สาธารณรัฐสิงคโปร์ กล่าวว่า ยุคที่โลกกำลังเผชิญการเปลี่ยนแปลงที่ซับซ้อน เช่น ความตึงเครียดภูมิรัฐศาสตร์ การปรับเปลี่ยนห่วงโซ่อุปทาน ความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศ และการหยุดชะงักทางเทคโนโลยีอย่าง AI ความร่วมมือและการเป็นหุ้นส่วนทวิภาคีจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง
“การทำงานของสิงคโปร์ ไทยและประเทศอื่นในอาเซียน เปลี่ยนความท้าทายให้เป็นโอกาส สร้างเศรษฐกิจภูมิภาคที่บูรณาการ ยืดหยุ่นและยั่งยืนยิ่งขึ้น โดยขับเคลื่อนจากการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลและเศรษฐกิจสีเขียว”
สำหรับบทบาทของอาเซียนในฐานะจุดยึดสำคัญสำหรับเสถียรภาพและการเติบโต โดยคาดว่าเศรษฐกิจอาเซียนเติบโต 4.7% ในปีนี้ และมีแนวโน้มเป็นเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลกภายในปี 2030
นอกจากนี้อาเซียนเป็นศูนย์กลางระดับโลกสำหรับดิจิทัลไฟแนนซ์และอีคอมเมิร์ซ โดยคาดว่ามูลค่าการทำธุรกรรมดิจิทัลจะเกิน 1 ล้านล้านดอลลาร์ ภายในปี 2025 การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียวในอาเซียนสร้างรายได้เพิ่มขึ้น 3 แสนล้านดอลลาร์ต่อปี ผ่านโครงสร้างพื้นฐานสีเขียว การปรับปรุงโครงข่ายไฟฟ้าให้ทันสมัย การเร่งพัฒนาระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และการพัฒนาตลาดคาร์บอน
นางสาวแฟม วี เว่ย ผู้อำนวยการกองการค้าระหว่างประเทศ (เศรษฐกิจสีเขียวและความยั่งยืน) และกองการลดการปล่อยคาร์บอน กระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมสิงคโปร์ (MTI) กล่าวว่า MOU ระหว่างสิงคโปร์และไทยเป็นข้อตกลงภายใต้มาตรา 6 ของความตกลงปารีส เปิดทางให้ประเทศต่างๆ โอนผลการลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกในรูปแบบ คาร์บอนเครดิตภาครัฐ (ITMOs) ภายใต้ระบบกำกับที่โปร่งใสและป้องกันการนับซ้ำ ช่วยลดต้นทุนการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศทั่วโลก
ข้อตกลงนี้มีจุดเด่น 4 ประการ คือ สร้างกรอบกฎหมายที่มีผลผูกพัน สำหรับการถ่ายโอนคาร์บอนเครดิตไทย-สิงคโปร์, รับรองกลไกการปรับแก้ (Corresponding Adjustments) เพื่อเสริมความน่าเชื่อถือของตลาด, กำหนดขั้นตอนการอนุมัติที่เข้มงวด ภายใต้การกำกับร่วม และ กันคาร์บอนเครดิตบางส่วนเพื่อการปรับตัวในท้องถิ่น
ที่มา<<<https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1194997