เคยรู้สึกกันไหมว่าในขณะที่โลกของ AI กำลังก้าวกระโดดไปข้างหน้าราวกับติดจรวด ทั้งโมเดลภาษาขนาดใหญ่, Generative AI และสารพัดนวัตกรรมที่น่าตื่นตาตื่นใจ แต่ สมาร์ตโฟน อุปกรณ์ที่ใกล้ตัวเราที่สุดกลับดูเหมือนจะย่ำอยู่กับที่ การเปลี่ยนแปลงในแต่ละปีดูเป็นเพียงการอัปเกรดเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่ได้เปลี่ยนประสบการณ์โดยรวมสักเท่าไร นี่คือความขัดแย้งที่ Carl Pei ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Nothing มองเห็น และมันกำลังจะกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเดิมพันครั้งใหญ่ที่สุดของบริษัท
ล่าสุด Nothing ได้สร้างแรงกระเพื่อมอีกครั้ง ด้วยการประกาศปิดดีลระดมทุน Series C มูลค่า 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้บริษัทมีมูลค่าประเมินสูงถึง 1,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐแล้ว แต่เม็ดเงินมหาศาลนี้ไม่ได้ถูกนำมาเพื่อสร้างสมาร์ตโฟนรุ่นใหม่ที่เร็วขึ้นหรือกล้องดีขึ้นเท่านั้น แต่มันคือเชื้อเพลิงเพื่อขับเคลื่อนวิสัยทัศน์ที่ใหญ่กว่า นั่นคือการปฏิวัติสมาร์ตโฟนให้กลายเป็น “แพลตฟอร์ม AI-native” อย่างแท้จริง ถึงเวลาแล้วที่เราจะตั้งคำถามว่า เทคโนโลยีที่อยู่ในมือเราทุกวันนี้ “ฉลาด” พอแล้วหรือยัง?
- จากรากฐานที่แข็งแกร่ง สู่บทต่อไปของ AI
ก่อนจะพูดถึงอนาคต ต้องยอมรับว่า Nothing ได้สร้างรากฐานของตัวเองไว้อย่างน่าทึ่ง Carl Pei กล่าวว่า “ตั้งแต่วันแรกที่ Nothing ก่อตั้งขึ้น เราเชื่อว่าถ้าสามารถสร้างธุรกิจสมาร์ตโฟนให้เติบโตได้ในระดับที่มีนัยสำคัญ พร้อมถือครองช่องทางการเชื่อมต่อกับผู้บริโภคโดยตรง เราจะอยู่ในจุดที่พร้อมสำหรับการเปลี่ยนผ่านครั้งถัดไปของวงการเทคโนโลยี”
และวันนี้ โอกาสนั้นก็ชัดเจนขึ้นแล้ว ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา Nothing ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขาไม่ใช่แค่แบรนด์หน้าใหม่ไฟแรง แต่เป็นผู้เล่นตัวจริงที่สามารถส่งมอบอุปกรณ์นับล้านชิ้น และก้าวเข้าสู่ปี 2568 ด้วยยอดขายสะสมที่ทะลุ 1 พันล้านดอลลาร์ เติบโตถึง 150 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับปี 2567 ความสำเร็จนี้ไม่ได้มาจากโชคช่วย แต่มาจากการสร้างระบบนิเวศที่แข็งแกร่ง ตั้งแต่งานออกแบบที่คว้ารางวัลระดับโลก ไปจนถึงระบบซัพพลายเชนและการผลิตที่ควบคุมได้ทั้งคุณภาพและต้นทุน
“โครงสร้างพื้นฐานเป็นสิ่งที่ยากที่สุด แต่เป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดที่เราได้สร้างขึ้น” Pei ย้ำ ด้วยรากฐานนี้ Nothing จึงอยู่ในจุดที่ยากจะเลียนแบบ มีทั้งความสามารถในการพัฒนาฮาร์ดแวร์ใหม่ๆ ในเวลาไม่กี่เดือน และมีคอมมูนิตี้ผู้ใช้งานที่พร้อมจะมีส่วนร่วมตั้งแต่ต้น สิ่งนี้คือความได้เปรียบที่ทำให้พวกเขากล้าที่จะก้าวสู่บทใหม่ที่ท้าทายกว่าเดิม
- เมื่อสมาร์ตโฟนปัจจุบันยังไม่เข้าใจ AI จริงๆ
Pei มองว่าสมาร์ตโฟนคือศูนย์กลางของชีวิตดิจิทัลตลอด 18 ปีที่ผ่านมา และมันจะยังคงเป็นอุปกรณ์หลักในยุค AI ต่อไป เพราะไม่มีอุปกรณ์ใดที่เข้าถึงบริบทและข้อมูลของผู้ใช้ได้ลึกซึ้งเท่านี้อีกแล้ว แต่เขาก็ชี้ให้เห็นถึงปัญหาใหญ่ว่า “ในขณะที่ AI ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วตลอด 3 ปีที่ผ่านมา สมาร์ตโฟนกลับแทบไม่มีการเปลี่ยนแปลง นอกจากฟีเจอร์เล็กๆ อย่างการแต่งภาพ แปลภาษา หรือผู้ช่วยดิจิทัล ซึ่งก็มักทำงานได้ไม่เต็มที่” การนำ AI มาใช้เป็นเพียงฟีเจอร์เสริม ไม่ได้ถูกถักทอเข้าไปในแก่นของระบบปฏิบัติการ นี่คือช่องว่างขนาดใหญ่ที่ Nothing ต้องการจะเข้าไปเติมให้เต็ม
“หากเราต้องการให้ AI ทำงานได้อย่างเต็มศักยภาพ ฮาร์ดแวร์สำหรับผู้บริโภคเองก็ต้องเปลี่ยนไปด้วย” Pei กล่าว นี่คือโอกาสของ Nothing ที่จะสร้างอนาคตใหม่ให้กับระบบปฏิบัติการ ที่ไม่ใช่แค่รอรับคำสั่ง แต่สามารถเข้าใจผู้ใช้ได้อย่างลึกซึ้ง ปรับเปลี่ยนตัวเองตามบริบทและความต้องการของแต่ละคนได้ มันคือระบบที่จะเข้ามาจัดการสิ่งที่ไม่สำคัญ เพื่อให้เราได้โฟกัสกับสิ่งที่สำคัญจริงๆ นี่ไม่ใช่แนวคิด “หนึ่งเดียวสำหรับทุกคน” (one-size-fits-all) แต่เป็นระบบที่ปรับเปลี่ยนได้เป็นพันล้านรูปแบบเพื่อรองรับผู้ใช้พันล้านคน
- อุปกรณ์ AI-Native ชิ้นแรกกำลังจะมา
วิสัยทัศน์ของ Nothing ไม่ได้หยุดอยู่แค่บนหน้าจอสมาร์ตโฟน ในระยะยาว ระบบปฏิบัติการ AI นี้จะเชื่อมต่อครอบคลุมอุปกรณ์ที่หลากหลาย ตั้งแต่สมาร์ตโฟน, อุปกรณ์เสียง, สมาร์ตวอตช์, ไปจนถึงแว่นตาอัจฉริยะ, หุ่นยนต์ หรือแม้กระทั่งรถยนต์ไฟฟ้า แต่ในระยะสั้น Pei มองไปถึงอุปกรณ์ชิ้นใหม่ที่จะเข้ามามีความสำคัญไม่แพ้สมาร์ตโฟนในปัจจุบัน เขาให้เหตุผลว่า “เราจะเข้าใจว่ายิ่ง AI ได้รับข้อมูลมากขึ้น ก็ยิ่งมีประโยชน์มากขึ้นเช่นกัน แต่สมาร์ตโฟนไม่สามารถอยู่กับเราได้ตลอดเวลา บางครั้งมันอยู่ในกระเป๋า หรือเราอาจจะยุ่งอยู่กับการถือของเต็มมือ”
สิ่งนี้จะนำไปสู่การเกิดขึ้นของอุปกรณ์ AI-native รูปแบบใหม่ ที่พร้อมใช้งานในทุกช่วงเวลา เป็นอุปกรณ์อัจฉริยะที่เปลี่ยน “ความเข้าใจ” ให้กลายเป็นการ “ลงมือทำ” ได้ทันที และข่าวดีก็คือ เราไม่ต้องรอนาน “เราทำงานกันอย่างหนักเพื่อมองหาว่าอนาคตของ AI-native จะเป็นอย่างไร และตื่นเต้นที่จะเปิดตัวอุปกรณ์ AI-native รุ่นแรกของเราในปีหน้า” Pei ประกาศอย่างชัดเจน
เงินทุน 200 ล้านดอลลาร์ในรอบนี้ที่นำโดย Tiger Global พร้อมด้วยผู้ลงทุนรายเดิมและรายใหม่อย่าง Qualcomm Ventures จะเป็นขุมพลังสำคัญให้ Nothing เร่งพัฒนานวัตกรรมและขยายช่องทางจัดจำหน่ายไปทั่วโลก การเดิมพันของ Nothing ครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่การสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ แต่คือการสร้างนิยามใหม่ของความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับเทคโนโลยี ที่เทคโนโลยีจะทำหน้าที่ขยายขีดความสามารถของเราอย่างแท้จริง นี่คือบทต่อไปที่น่าจับตามองที่สุดของวงการเทคโนโลยีในทศวรรษนี้
ที่มา<<<https://www.bangkokbiznews.com/tech/gadget/1200011