AI เขย่าวงการนักพัฒนา เปลี่ยนวิถี! คน – งาน – เส้นทางนวัตกรรม

  • AI กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในชีวิตประจำวันของนักพัฒนาทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
  • 95% ใช้งานเป็นประจำทุกสัปดาห์เพื่อเพิ่มความเร็ว ประสิทธิภาพ ประหยัดเวลาได้ถึง 4-6 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ แต่ยังไม่ถูกใช้งานเต็มศักยภาพ
  • ความน่าเชื่อถือของผลลัพธ์ยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญ
  • นักพัฒนากว่า 67% ต้องตรวจสอบโค้ดที่สร้างโดย AI ทุกบรรทัด และส่วนใหญ่ยังขาดนโยบายการใช้งานที่ชัดเจนจากองค์กร ทำให้การกำกับดูแลโดยมนุษย์ยังเป็นสิ่งจำเป็น
  • เกิดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงทักษะ AI
  • นักพัฒนาส่วนใหญ่ (71%) เรียนรู้ด้วยตนเอง มีเพียง 28% ที่ได้รับการฝึกอบรมจากที่ทำงาน
  • นักพัฒนาไทยมีความรอบคอบในการใช้ AI สูงที่สุด มีเพียง 5% ที่มั่นใจว่า AI จะทำงานได้เทียบเท่าวิศวกรระดับกลาง

“อโกด้า” แพลตฟอร์มดิจิทัลด้านการท่องเที่ยว เผยรายงานฉบับใหม่ “AI Developer Report 2025” สำรวจความคิดเห็นนักพัฒนา AI ปี 2568 โดยพบว่าการใช้งาน AI หรือเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ในกลุ่มนักพัฒนาซอฟต์แวร์ทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และอินเดีย อยู่ในระดับสูง

อย่างไรก็ดี การใช้งานดังกล่าวยังอยู่ในช่วงของการพัฒนาให้ใช้งานได้อย่างเต็มศักยภาพ นักพัฒนาเน้นนำ AI มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความรวดเร็วในการทำงาน โดยไม่ลดทอนคุณภาพของผลงาน

ขณะที่องค์กรต่าง ๆ กำลังเผชิญความท้าทายในการวางนโยบาย แนวปฏิบัติ และกรอบการทำงานที่เหมาะสม เพื่อรองรับการพัฒนา AI ในระยะต่อไปของภูมิภาค
ข้อมูลเชิงลึกจากนักพัฒนาซอฟต์แวร์ในประเทศอินโดนีเซีย มาเลเซีย ไทย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ เวียดนาม และอินเดีย รวมถึงมุมมองจากบริษัทชั้นนำในภูมิภาคอย่าง SCB 10x, Omise, Carousell และ MoMo พบ 3 ประเด็นที่น่าสนใจที่เชื่อมโยงเกี่ยวกับแนวโน้มการนำเทคโนโลยี AI มาใช้ดังนี้

AI กลายเป็นเทคโนโลยีหลัก แต่ยังไม่ถูกพัฒนาเต็มที่

ปัจจุบัน AI ได้กลายเป็นเครื่องมือประจำวันของนักพัฒนาซอฟต์แวร์ทั่วทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และอินเดีย จากรายงานพบว่า มีนักพัฒนาถึง 95% ที่ใช้ AI เป็นประจำทุกสัปดาห์ และกว่า 56% เปิดใช้ผู้ช่วย AI อยู่ตลอดเวลา

ปัจจัยหลักที่ผลักดันให้เกิดการใช้งาน AI คือประสิทธิภาพและความรวดเร็ว โดย 80% ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่าใช้ AI เพื่อเพิ่มความเร็วในการทำงาน และมีกลุ่มนักพัฒนาจำนวนมากเริ่มเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน และมี 37% ที่ระบุว่าสามารถประหยัดเวลาได้ถึง 4–6 ชั่วโมงต่อสัปดาห์

อย่างไรก็ตาม การใช้งาน AI ในปัจจุบันยังคงเป็นเพียงเครื่องมือเพื่อเสริมประสิทธิภาพ มากกว่าการเป็นเครื่องมือสร้างสรรค์ผลงาน   

นอกจากนี้  22% ของกลุ่มนักพัฒนานำเอา AI มาใช้เพื่อช่วยแก้ปัญหาที่ไม่คุ้นเคย และน้อยกว่าครึ่งหรือราว 43% ของกลุ่มนักพัฒนาที่เชื่อว่า AI สามารถทำงานได้ดีในระดับเทียบเท่ากับวิศวกรระดับกลาง

ขณะที่ 94% ใช้ AI เพื่อช่วยในการเขียนโค้ด  อย่างไรก็ตามเมื่อถามถึงการใช้งานประเภทการจัดทำเอกสาร การจัดการทดสอบ และการปรับใช้ระบบ

ผลสำรวจพบด้วยว่า การนำเอา AI เข้ามาใช้งานยังมีเปอร์เซ็นต์ที่น้อย สะท้อนให้เห็นถึงช่องว่างระหว่างการใช้งานจริง กับความน่าเชื่อถือของ AI ซึ่งชี้ให้เห็นความจำเป็นในการพัฒนาให้ AI มีความเสถียร และให้ผลลัพธ์ที่แม่นยำมากยิ่งขึ้น

ผลลัพธ์ยังไม่น่าเชื่อถือทั้งหมด แต่ดีขึ้นเรื่อยๆ

การตรวจสอบและการยืนยันผลลัพธ์ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการทำงานกับ AI ในชีวิตประจำวันของกลุ่มนักพัฒนาซอฟต์แวร์อย่างชัดเจน

โดย 79% ของนักพัฒนาระบุว่า ผลลัพธ์ที่ไม่น่าเชื่อถือ คืออุปสรรคสำคัญต่อการนำ AI มาใช้อย่างแพร่หลาย และเพื่อรักษาคุณภาพของงาน นักพัฒนาซอฟต์แวร์กว่า 67% จะตรวจสอบโค้ดที่สร้างโดย AI ทุกบรรทัดก่อนนำมารวมเข้ากับงานของตนเอง อีกทั้งกว่า 70% มักปรับแต่งหรือแก้ไขผลงานของ AI เพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลถูกต้อง และเชื่อถือได้

ผลสำรวจยังพบว่า มาตรการและนโยบายในการใช้งาน AI ยังไม่เป็นที่แพร่หลายมากนัก โดยมีเพียง 1 ใน 4 เท่านั้นที่ทำงานภายใต้แนวทาง หรือกรอบข้อกำหนดด้าน AI ที่ชัดเจน และนำเอาการตรวจสอบและประเมินผลของคนมาเพื่อใช้ตรวจสอบความน่าเชื่อถือแทน

อย่างไรก็ดี การตรวจสอบไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการสร้างนวัตกรรม กว่า 72% ของนักพัฒนาซอฟต์แวร์ยืนยันว่าเห็นผลลัพธ์ชัดเจนทั้งด้านประสิทธิภาพและคุณภาพของโค้ด ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าการมีคนเข้ามากำกับดูแลการทำงานของ AI ยังเป็นปัจจัยที่สำคัญเพื่อการใช้งาน AI ที่ถูกต้อง

‘ความเหลื่อมล้ำ’ หลีกเลี่ยงได้ยาก

ขณะที่การใช้งาน AI จะเกือบเข้าสู่ระดับที่แพร่หลาย แต่ประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญคือ วิธีการใช้งาน AI อย่างมีความรับผิดชอบและมีประสิทธิภาพ

จากรายงานพบว่า นักพัฒนาส่วนใหญ่กว่า 71% เรียนรู้การใช้ AI ด้วยตนเองผ่านการศึกษาบทเรียนออนไลน์ โครงการเสริม หรือจากแหล่งชุมชนออนไลน์

ขณะที่มีเพียง 28% ที่ได้รับการฝึกอบรมจากที่ทำงาน อีกทั้งการเข้าถึงเพื่อพัฒนาศักยภาพการใช้งาน AI ยังแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศโดย โดยกลุ่มนักพัฒนาในประเทศสิงคโปร์นั้นมีโอกาสที่จะได้รับการอบรมด้าน AI มากกว่านักพัฒนาในเวียดนามถึงเกือบสองเท่า

แม้จะมีช่องว่างเหล่านี้ นักพัฒนาก็ยังเดินหน้าเสริมความสามารถให้แก่ตนเองอย่างต่อเนื่อง โดย 87% ของนักพัฒนามีการปรับแผนการเรียนรู้ หรือเส้นทางอาชีพเพื่อใช้ประโยชน์จาก AI และ 62% เชื่อว่า AI จะช่วยขยายโอกาสในอาชีพของตนซึ่งเป็นการวางรากฐานระยะยาวของเหล่านักพัฒนาทั้งภูมิภาค

สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่า แรงงานนั้นมีความสามารถ มีความยืดหยุ่นในการเรียนรู้ มีความมุ่งมั่น พร้อมทดลองสิ่งใหม่ ๆ และมีความรู้ด้าน AI มากกว่าที่องค์กรจะสามารถจัดอบรมให้ความรู้ให้ได้

อิแดน ซาลซ์เบิร์ก ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีของ อโกด้า กล่าวว่า AI กำลังเปลี่ยนวิธีที่นักพัฒนาซอฟต์แวร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และอินเดีย ใช้ความคิดสร้างสรรค์ เรียนรู้ และทำงานร่วมกัน

จากเดิมที่ AI ถูกนำมาใช้เพื่อเร่งงาน เช่น การเขียน ทดสอบ หรือแก้ไขโค้ด วันนี้ AI กลายเป็นตัวขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงในกระบวนการสร้างซอฟต์แวร์ ช่วยให้ทีมทำงานได้รวดเร็วขึ้น เรียนรู้อย่างต่อเนื่อง และแก้ปัญหาในรูปแบบใหม่ ๆ ได้เป็นอย่างดี

สำหรับการใช้ AI ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และอินเดีย แม้เป็นสิ่งที่แพร่หลายแต่ความไม่เท่าเทียมก็ยังมีให้ได้พบเห็น  โดยนักพัฒนาได้นำ AI มาใช้อย่างรอบคอบ เพื่อการทำงานที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ และนำมาปรับใช้ด้วยความรอบคอบ แทนที่จะใช้ AI แทนทักษะต่าง ๆ หรือการตัดสินใจที่สำคัญ

ความท้าทายที่แท้จริงคือการสนับสนุนการเติบโตจากฐานรากนี้ ด้วยแนวปฏิบัติที่เป็นระบบและการทดลองอย่างรับผิดชอบ เพื่อเปลี่ยนการใช้งาน AI ให้มีประสิทธิภาพ และมีความยั่งยืน

นักพัฒนาไทย ‘รอบคอบ’ ยังไม่เทใจเต็มที่

สำหรับนักพัฒนาซอฟต์แวร์คนไทยยังคงเป็นกลุ่มที่นำ AI มาใช้งานอย่างรอบคอบที่สุด โดยมีเพียง 5% ของนักพัฒนาซอฟต์แวร์คนไทยที่ “มั่นใจอย่างยิ่ง” ว่า AI สามารถทำงานได้เทียบเท่ากับวิศวกรระดับกลาง ซึ่งถือว่าต่ำที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับนักพัฒนาซอฟต์แวร์จาก 7 ประเทศที่ถูกสำรวจ

ขณะที่ 41.3% ของนักพัฒนาซอฟต์แวร์คนไทยแสดงความไม่มั่นใจกับการใช้ AI ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการใช้วิจารณญาณ และความรอบคอบในการใช้ AI มากกว่าการใช้ AI ไปตามกระแส

อีกทั้งผลลัพธ์ด้านประสิทธิภาพก็คงชัดเจน โดยเกือบครึ่งของนักพัฒนาซอฟต์แวร์คนไทย (46.3%) แสดงความคิดเห็นว่า การใช้งาน AI ช่วยประหยัดเวลาได้ 4 – 6 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ซึ่งเป็นเกณฑ์ที่มากกว่านักพัฒนาซอฟต์แวร์จากประเทศอื่น ๆ อันชี้ให้เห็นว่าคุณค่าการใช้งานที่แท้จริงนั้นยังมีให้เห็นแม้อาจมีความไม่ชัดเจนอยู่บ้าง

การสำรวจนี้ อโกด้า ได้จัดทำขึ้นร่วมกับ Macramé Consulting เป้าหมายเพื่อสนับสนุนกลุ่มนักพัฒนาซอฟต์แวร์ให้สร้างทักษะ และระบบการทำงานที่มีประสิทธิภาพ ขับเคลื่อนภูมิภาคสู่การเป็น “Silicon Valley of Asia” (ซิลิคอนแวลลีย์ของเอเชีย) ผ่านการผสานเทคโนโลยีล้ำสมัย เข้ากับวัฒนธรรมความรับผิดชอบ และการทำงานร่วมกันเพื่อสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน

ที่มา<<https://www.bangkokbiznews.com/tech/gadget/1206093

LEAVE A REPLY

Please enter your comment!
Please enter your name here